คุณครูวุ้น – ณงค์ศักดา ดุริยปราณีต คุณครูสอนภาษาไทยของสถานศึกษาวัดวังพระนอน จังหวัดสุพรรณบุรี มีชื่อเสียงใน TikTok ด้วยท่าทางการเต้นสุดพริ้ว พร้อมทั้งเหล่าผู้เรียน
จากเด็กเนิร์ดที่ไม่ทำกิจกรรม ศึกษาค้นพบตนเองผ่าน “การเต้น” ซึ่งช่วยทำให้คุณครูวุ้นกล้าแสดงออกมาขึ้น หากแม้เขาจำเป็นต้องเจอหน้ากับคำดูถูกจากคนที่อยู่รอบข้าง แต่ว่าความรักสำหรับการเต้นก็ทำให้อาจารย์วุ้นต่อสู้ทุกคำบอกเล่า รวมทั้งฝึกซ้อมการเต้นจนถึงชำนาญ
ด้วยความรักสำหรับการเต้น ทำให้คุณครูวุ้นตกลงใจเชื้อเชิญผู้เรียนที่รักในการเต้นเช่นกัน มาแสดงแล้วก็อัปโหลดคลิปวิดีโอลงในแอปพลิเคชัน TikTok ซึ่งโน่นเป็นจุดกำเนิดของจังหวะมากไม่น้อยเลยทีเดียวที่เข้ามาสู่ชีวิตของคุณครูวุ้นรวมทั้งศิษย์
เด็กๆควรจะได้ทดลองทำกิจกรรมหลายประเภท เพื่อค้นหาสิ่งที่เราเองถูกใจ ในเวลาที่คนแก่ก็ควรหาพื้นที่ให้เด็กได้ค้นหา ทดสอบรวมทั้งศึกษาและทำการค้นพบความนิยมของตนเองให้พบ
“การค้นหาตนเอง” เปลี่ยนเป็นสิ่งที่คนยุคสมัยใหม่ให้ความใส่ใจ และก็เป็นใจความสำคัญยอดนิยมที่ถูกกล่าวถึงมาสนทนากันอยู่ตลอด เมื่อเด็กไทยจำนวนมากไม่รู้เรื่องว่าตนเองประทับใจอะไร ไม่เคยทราบจำต้องพาตนเองไปอยู่ที่ที่ไหน ก็เลยจะพบจุดที่ใช่แล้วก็เหมาะสมกับตนเอง เหมือนกับคนแก่เยอะมากที่จำต้องพบเจอกับความสับสนในชีวิต และก็จบอยู่กับสิ่งที่เราเองมิได้รักจนถึงปราศจากความสุข แต่ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของ “อาจารย์วุ้น – ณรงค์ศักดา ดุริยปราณีต” คุณครูสอนภาษาไทยของสถานที่เรียนวัดวังพระนอน จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ค้นพบความสบายของชีวิตผ่าน “การเต้น” ที่นำเขาไปสู่ตำแหน่ง “อาจารย์นักเต้นเท้าไฟที่ TikTok” และก็ทำให้เกิดช่องทางล้นหลามในชีวิตที่เกินกว่าเขาจะฝันถึง
การเต้นเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กเนิร์ด
“แต่ก่อนผมเป็นผู้ที่เรียนสิ่งเดียว คล้ายเป็นเด็กเนิร์ด เป็นเรียนสิ่งเดียว ไม่ทำกิจกรรม และจากนั้นก็ไม่มีสังคมกับเพื่อนพ้องๆเลย จนตราบเท่ามีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่อง Step Up ภาค 2 ซึ่งจำต้องขอขอบพระคุณภาพยนตร์หัวข้อนี้เลย เพราะเหตุว่าเป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงดลใจให้กับผม” อาจารย์วุ้นเริ่มเล่า
จากเด็กเขินอาย ไม่คบหาสมาคมกับเพื่อนเกลอ คุณครูวุ้นหลงเสน่ห์ “การเต้น” รวมทั้งหมั่นเพียรฝึกหัดด้วยตัวเอง จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นนักเต้นเท้าไฟ ที่ไม่เพียงแค่จะมอบความสบายให้กับตนเองแค่นั้น แต่ว่าการเต้นยังช่วยอาจารย์วุ้นในอีกหลายๆด้าน
“พวกเราเป็นคนเขินอาย เป็นคนเก็บตัว ไม่ยุ่งกับผู้ใดกัน พักตอนกลางวันพวกเราก็อยู่เพียงลำพัง เวลามีกิจกรรมหรือมีวิชาที่จำต้องออกไปพรีเซนเทชั่นหน้าห้อง พวกเราก็รู้สึกยังคลุมเคลือเลย จนถึงมาพบสังคมเต้น มันทำให้พวกเรารู้สึกกล้าแสดงออกมากขึ้น แล้วมันมีผลกับการเล่าเรียนด้วย ยกตัวอย่างเช่นเวลาผมไปพรีเซ็นท์หน้าห้อง ผมก็จะมีความมั่นใจและความเชื่อมั่น แล้วยังช่วยเรื่องบุคลิกด้วย เพราะว่านอกเหนือจากจำเป็นต้องเต้นตามจังหวะแล้ว มันคือเรื่องของบุคลิกลักษณะ ที่จำเป็นต้องปรับให้มีความสมดุล แล้วหลังจากนั้นก็สมควร มันจะได้สวยสดงดงาม” คุณครูวุ้นกล่าว
ฝ่ากำแพงคำปรามาสด้วยความรักสำหรับการเต้น
ด้วยเหตุว่ามีรูปร่างอวบมาตั้งแต่เด็ก ทำให้อาจารย์วุ้นจำต้องพบเจอกับคำกล่าวถากถางจากคนที่อยู่รอบข้าง เขาเห็นด้วยว่ารู้สึกปวด แม้กระนั้นความรักสำหรับในการเต้นก็เป็นแรงกระตุ้นให้อาจารย์วุ้นสู้กับคำกล่าวพวกนั้นอย่างไม่หวาดกลัว
“ตอนต้นมีความคิดว่าพวกเราจะต้องบากบั่นมากยิ่งกว่าผู้อื่น เริ่มต้นผมเต้นบีบอยก่อนเลย เนื่องจากว่าเพื่อนฝูงๆเต้นบีบอยกันหมด แม้กระนั้นเหตุเพราะผมเป็นคนอวบตั้งแต่เด็ก เลยทำให้บางท่าผมไม่สามารถที่จะเต้นได้ มันก็จะตรากตรำนิดหนึ่ง ตราบจนกระทั่งทดลองเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีเต้นมอง ก็ไปพบแนวการเต้นแบบป๊อปปิ้ง ซึ่งคงจะเหมาะสมกับพวกเรา แม้กระนั้นมันก็ใช้เวลา เป็นแรกๆเพื่อนพ้องในห้องก็ดูถูก ว่าแกเลิกเต้นเถิด มันมองไม่พริ้ว มองไม่แจ๋วเลย แม้กระนั้นพวกเราก็ต้องการเต้น คิดว่ามันใช่ส่วนตัวสำหรับเรา ก็เลยฝึกหัดเองมาเรื่อย” คุณครูวุ้นเล่า
TikTok พื้นที่ค้นหาสิ่งที่เด็กนักเรียนถูกใจ
ด้วยความรักสำหรับการเต้น ทำให้คุณครูวุ้นตกลงใจเชื้อเชิญเด็กนักเรียนที่ชอบด้านการเต้นเช่นเดียวกัน มาโชว์รวมทั้งอัปโหลดคลิปวิดีโอลงในแอปพลิเคชัน TikTok ซึ่งโน่นเป็นจุดเริ่มของจังหวะเยอะมากที่เข้ามาสู่ชีวิตของอาจารย์วุ้นแล้วก็ศิษย์
“พวกเราเริ่มจาก TikTok ก่อน พอเพียงพวกเราอัดคลิปกับเด็กๆพวกเราก็มีชื่อเสียงกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้างหลังๆท่านผู้อำนวยการก็มีความคิดเห็นว่ากิจกรรมนี้มีเด็กพึงพอใจมาก เขาเลยตั้งเป็นสมาคมให้เลย จากจุดเริ่มเล็กๆอัดคลิป TikTok คุ้นเคยตอนพักเที่ยง มันเปลี่ยนเป็นว่ากรุ๊ปเต้นของพวกเราเป็นกรุ๊ปที่มีความมากมายหลายในเรื่องของสถานที่เรียน เพราะว่าเด็กแต่ละคนมาจากต่างสถานศึกษากันเลย และก็มารวมตัวกัน ทำกิจกรรม และพาไปแข่งขันเต้นร่วมกัน” คุณครูวุ้นบอก
“ความนึกคิดของคนรุ่นเก่าบางครั้งก็อาจจะดูเรื่องเต้นเกิดเรื่อง “การเต้นกินรำกิน” แต่ว่าผมต้องการกล่าวว่า เดี๋ยวนี้มันเป็นความเป็นจริงนะ เป็นการเต้นมันหารายได้ผมได้ มันทำให้พวกเราอิ่มท้องได้ แล้วมันก็สร้างรายได้ให้น้องๆผู้เรียนด้วย อย่างบางบุคคลพึ่งจะขึ้นมหาวิทยาลัย เขาก็มีตอนที่มาทำคอนเทนต์กับพวกเรา พวกเราก็กระจัดกระจายรายได้ให้กับน้อง บางบุคคลก็เอาเงินไปต่อยอดแนวทางการทำธุรกิจก็มี บางบุคคลก็เก็บสะสมเงินเพื่อไปศึกษาต่อ แบ่งเบาภาระของผู้ดูแล ซึ่งผู้ดูแลแต่ละคนก็แฮปปี้มากมาย” อาจารย์วุ้นเล่า
คนแก่จำต้องเปิดพื้นที่ให้เด็กได้ค้นหาตนเอง
“เด็กๆควรมีขณะที่ได้ค้นหาตนเอง ในตอนระหว่างการเล่าเรียนการสอน การบ้านเป็นสิ่งจำเป็น แต่ว่าการบ้านน่าจะจัดให้เหมาะสมกับผู้เรียน ซึ่งบางโอกาสมันหลายวิชามากมาย ทำให้เด็กๆไม่ว่างจุดโฟกัสกับกิจกรรมอันอื่นเลย เพราะจำเป็นต้องเอาเวลาว่างทั้งผอง หรือในขณะที่จะได้ค้นหาตนเอง ไปจุดโฟกัสกับการศึกษาหรือการบ้านเหล่านี้” อาจารย์วุ้นชี้
แม้ว่าจะเห็นว่าในตอนนี้ หน่วยงานหรือหน่วยงานของภาครัฐเริ่มให้ความเอาใจใส่กับหัวข้อการค้นหาตนเองของเด็กๆมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าอาจารย์วุ้นก็บอกว่าพื้นที่กลุ่มนี้ยังมีไม่มากพอ และก็คนแก่ก็น่าจะหาพื้นที่ให้เด็กได้ค้นหา ทดสอบ แล้วก็ศึกษาค้นพบความชอบพอของตนให้พบ เพื่อที่เด็กๆจะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักตนเองอย่างยอดเยี่ยม มีทิศทางในชีวิตที่เด่นชัด และก็เป็นผู้ที่เป็นสุข
“ผมรู้สึกโชคดีที่ผมค้นหาตนเองพบ ว่าผมถูกใจอะไร ผมรังเกียจอะไร ซึ่งในตอนนี้ที่ทุกคนมีความคิดเห็นว่าผมมีงานเต้นจำนวนมากล้นหลาม เป็นผมมิได้บากบั่นทำอะไรเลย ผมทำเพียงแค่สิ่งเดียว เป็นผมทำในสิ่งที่ผมรัก แล้วก็สิ่งนี้มันทดแทนผมเอง โดยที่ผมไม่ต้องอุตสาหะไปดิ้นรนอะไรเลย ทุกสิ่งมันทดแทนเอง แม้กระนั้นมันบางครั้งก็อาจจะใช้เวลาสำหรับการพิสูจน์หลายๆอย่าง” คุณครูวุ้นกล่าว
ดังนี้ อาจารย์วุ้นตบท้ายว่า “ต้องการที่จะให้เด็กๆทุกคนค้นหาตนเอง ว่าตนเองถูกใจอะไร ออกมาทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่มีความคิดว่ามันใช่ตนเอง แม้กระทั้งการเล่นเกม หรือการต่อกันดั้ม หรือทำอะไรก็ตาม โน่นเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนความประพฤติปฏิบัติรวมทั้งลักษณะท่าทางของพวกเรา รวมทั้งสมรรถนะของพวกเราอีกด้วย”